The Lady Vanishes (1938)
- myfavfilms
- 21 ก.ย. 2557
- ยาว 1 นาที
The Lady Vanishes (1938)
มีโอกาสได้ชมผลงานกำกับของ ‘อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก’ มาทั้งสิ้น 22 เรื่อง แต่เพิ่งได้ชมผลงานของเขาสมัยยังทำหนังที่เกาะอังกฤษเพียงแค่เรื่องเดียวคือ The 39 Steps วันนี้จึงได้ฤกษ์ประเดิมด้วย The Lady Vanishes ผลงานลำดับรองสุดท้ายก่อนที่เขาจะข้ามน้ำข้ามทะเลมากำกับหนังที่สหรัฐอเมริกา
The Lady Vanishes เล่าเรื่องเหตุการณ์บนรถไฟจากยุโรปกลางกลับอังกฤษของ ‘ไอริส’ นักท่องเที่ยวสาวสวยชาวอังกฤษ ระหว่างพักในโรงแรม เธอได้ทำความรู้จักกับหญิงชราคนหนึ่งชื่อว่า ‘ฟรอย’ และเธอไม่ชอบขี้หน้า ‘กิลเบิร์ต’ หนุ่มนักดนตรีที่มารบกวนเวลานอนของเธอ แต่บนรถไฟระหว่างกลับอังกฤษ หญิงชราได้หายตัวไปอย่างลึกลับโดยที่ไม่มีใครบนรถไฟเคยเห็นหญิงชราคนดังกล่าว เธอได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าสมองของเธออาจได้รับการกระทบกระเทือนจากการถูกของหล่นใส่ศีรษะจนทำให้เกิดภาพในจินตนาการ แต่เธอก็มั่นใจว่าหญิงชราคนดังกล่าวมีตัวตนจริง ๆ โดยคนเดียวที่ช่วยเธอตามหาหญิงชราก็คือชายหนุ่มที่เธอไม่ชอบขี้หน้า
1. แรงบันดาลใจสู่งานยุคหลัง
พล็อตคนหายไปจากรถไฟโดยไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าบุคคลดังกล่าวเคยอยู่บนรถไฟ ได้กลายมาเป็นพล็อต Flightplan (2005)
เมื่อลูกสาวของ ‘โจดี้ ฟอสเตอร์’ หายตัวไปจากเครื่องบินโดยที่ทุกคนบนเครื่องบินต่างยืนยันว่าไม่เคยเห็นลูกสาวของเธอ แม้ว่าพล็อตจะเหมือนกันแต่การนำไปต่อยอดคนละสูตร โดยเฉพาะเรื่องความสมเหตุสมผลบางอย่างก็ทำให้คุณค่าของหนังต่างกัน
2. อย่าหาเรื่องใส่ตัว
ผมชอบพล็อตของ The Lady Vanishes อย่างหนึ่งที่ว่ามีผู้โดยสารเห็นหญิงชราคนนั้นหลายคน แต่ทุกคนกลับบอกว่าไม่เคยเห็นเพียงเพราะกลัวตัวเองเดือดร้อน สองคนแรกก็คือ คู่ชู้รักที่ฝ่ายหญิงกำลังเรียกร้องให้ฝ่ายชายหย่ากับภรรยา ทั้งสองคนปฏิเสธว่าไม่เคยเห็นหญิงชราเพราะกลัวว่าตัวเองจะตกเป็นพยานซึ่งจะทำให้มีคนเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนเป็นเรื่องอื้อฉาว ส่วนอีกคู่ก็คือ 'แคลดิคอร์ท' และ 'ชาร์เตอร์' บทของสองนักแสดงตลกที่เคยปรากฎตัวในชื่อเดียวกันนี้ในหนังเรื่อง Night Train to Munich (1940) ทั้งคู่ปฏิเสธว่าไม่เห็นหญิงชราเพราะกลัวว่าจะต้องหยุดรถไฟจนทำให้ตัวเองเดินทางไปไม่ทันชมการแข่งขันคริกเก็ต
3. Caldicott + Charters
ผมได้ดู Night Train to Munich ไปก่อนแล้ว บทของทั้งคู่ในเรื่องนั้นคือเป็นคนช่วยเหลือพระเอกให้พานางเอกเอาตัวรอดจากการถูกนาซีควบคุมตัวบนรถไฟ ซึ่งก็มีการเล่นมุกรับส่งกันลื่นไหลดี แต่ยังไม่เท่าใน The Lady Vanishes ที่ทั้งคู่ยิงมุกรับส่งกันกระจายสอดคล้องไปกับหนังที่เป็นแนวคอเมดี้
4. Comedy จะมาอยู่กับหนังแนว Suspense ได้ด้วยหรอ?
ก่อนดู The Lady Vanishes ผมรู้แค่ว่ามันเป็นหนังสืบสวนตามหาหญิงสาวที่หายตัวไปบนรถไฟ แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นคอเมดี้ตลกจ๋าขนาดนี้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมไม่คาดคิดว่าหนังตามหาหญิงชราที่หายตัวไปที่อารมณ์หนังค่อนข้างเป็นจริงเป็นจังจะสอดแทรกฉากเรียกเสียงหัวเราะได้โดยไม่ทำให้อารมณ์หนังสะดุด นี่ไม่ได้อวยเกินจริงนะครับ หลายฉากที่มันมาคั่นความจริงจังมันเรียกเสียงหัวเราะได้เพราะมันดูเป็นธรรมชาติ เช่นฉากต่อสู้กับตัวร้ายในโบกี้เก็บของ ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของหญิงสาวในการช่วยเหลือพระเอกต่อสู้นี่เรียกรอยยิ้มได้อย่างดี, หรืออย่างฉากที่เธอต้องทำตัวไม่ให้หลับมันก็ฮาท่าทางของเธอที่ทำสิ่งที่ควรทำ และคู่หู 'แคลดิคอร์ท' และ 'ชาร์เตอร์' ก็เรียกรอยยิ้มได้แทบทุกครั้งที่ปรากฎตัว ดังนั้นไม่เกินจริงเลยที่ผมจะยกย่องผลงานของ ‘ฮิตช์ค็อก’ เรื่องนี้ว่ามันยอดเยี่ยมเพียงใดที่ผสมอารมณ์ขันในหนังสืบสวนโทนจริงจังขนาดนี้
5. MacGuffin
เทคนิคแมคกัฟฟินก็คือ ตัวเดินเรื่องในหนังที่ไม่มีคำตอบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันมีไปเพื่ออะไร แต่คนดูรู้ว่ามันสำคัญกับตัวละครในหนัง เพียงแต่ว่าถึงเรารู้คำตอบว่าแมคกัฟฟินเหล่านั้นคืออะไรก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงพล็อตหนังแต่อย่างใด เช่น
• ยูเรเนียม ในหนังเรื่อง Notorious มันคืออะไร จะเอาไปทำอะไร หนังไม่ได้บอกไว้และมันก็ไม่ได้สำคัญกับคนดู หนังแค่ใส่ลงไปเพื่อให้ตัวละครค้นหามันให้เจอเท่านั้นเอง
• ทำไมอยู่ดี ๆ นกใน The Birds ถึงได้จู่โจมมนุษย์ ซึ่งหนังก็ไม่มีคำตอบ แต่อารมณ์หนังสยองขวัญก็ทำให้มันถูกจดจำคุณค่าเอาไว้ เพียงแต่หลายคนอาจจะกดคุณค่าของหนังลงเพียงเพราะผู้กำกับไม่บอกสาเหตุที่นกจู่โจมคน อย่างที่บอกแหละครับว่ามันคือแมคกัฟฟินที่ช่วยให้หนังเดินไปข้างหน้า
• ความลับในไมโครฟิล์ม จากหนังเรื่อง North by Northwest หนังก็ไม่ได้บอกว่ามันมีความสำคัญอย่างไร เรารู้ไปก็ไม่เปลี่ยนแปลงพล็อตหนัง ฮิตช์ค็อกใช้มันขับเคลื่อนหนังไปข้างหน้าให้เรารู้แค่ว่ามันเป็นสิ่งของที่ทำให้แครี่ แกรนท์ถูกตามล่าจนกลายเป็นหนัง thriller ชิงไหวชิงพริบยอดเยี่ยมตลอดกาล
• The 39 Steps พล็อตของหนังคือเรื่องของตัวละครถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฆาตกรและหนีการจับกุมของตำรวจ ดังนั้นไอ้เจ้า 39 steps คืออะไร รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ครับ
เทคนิคนี้ยังปรากฏในหนังของผู้กำกับท่านอื่นด้วยเช่น ‘ตีนกระต่าย’ ใน Mission: Impossible หรือ ‘Rosebud’ ตัวเดินเรื่องสำคัญใน Citizen Kane ซึ่งแม้จะเฉลยตอนจบแต่ก็ไม่มีความสำคัญอะไรเพราะไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับท่วงทำนองเพลงตอนจบของ The Lady Vanishes ที่ไม่มีความสำคัญอะไรกับเนื้อเรื่องเลยครับ นอกจากทำให้คนดูรับรู้ว่ามันทำให้หญิงชราถูกตามล่าตัว
ใครที่ชื่นชอบอัลเฟรด ฮิตช์ค็อกอยู่แล้ว ผมก็แนะนำให้หาหนังเรื่องนี้มาชมกันนะครับ โดยส่วนตัวผมจัดให้อยู่ Top 10 เรียบร้อยแล้ว เรียงให้ดูสักนิดว่าผมชอบอะไรบ้าง Vertigo > Rebecca > Rear Window > North by Northwest > Shadow of a Doubt > Psycho > Dial M for Murder > The Birds > Foreign Correspondent และอันดับสิบ The Lady Vanishes ครับ
Director: Alfred Hitchcock
based upon the story: "The Wheel Spins" by: Ethel Lina White
screenplay: Sidney Gilliat , Frank Launder
Genre: Comedy, Thriller, Mystery, Suspense
9/10
Comments