ทำไม Edge of Tomorrow จึงกลายเป็นหนังเจ๊งของปี 2014
- หนังโปรดของข้าพเจ้า
- 1 มิ.ย. 2558
- ยาว 2 นาที

ทอม ครูซล้มเหลวบน Box Office อีกครั้ง
หากเอ่ยถึงทอม ครูซนับตั้งแต่ดังเป็นพลุแตกจาก Top Gun ชื่อของเขานั้นก็อยู่ในข่ายหนังทำเงินมาตลอดยุค 90s ทั้งที่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นเอาใจตลาดด้วยซ้ำ ไล่ตั้งแต่ Rain Man ที่กวาดรายได้ทั่วโลกสูงที่สุดประจำปี 1988 ทั้งที่เป็นหนังดราม่า, A Few Good Men ที่เป็นหนังดราม่าสืบสวนในค่ายทหารก็ทำเงินสูงเป็นอันดับ 5 ของปี 1992 ด้วยรายได้เฉพาะในอเมริกาสูงถึง 141 ล้านเหรียญ, ปีต่อมา The Firm หนังดราม่าทนายความของเขาก็ทำเงินสูงเป็นอันดับ 4 ของปี 1993 ด้วยรายได้ 158 ล้านเหรียญ, Jerry Maguire ปี 1996 แนวดราม่าผสมโรแมนติกก็ทำเงินสูงเป็นอันดับ 4 ของปีด้วยรายได้ 153 ล้านเหรียญ
แล้วยิ่งรายได้ของแฟรนไชส์ Mission: Impossible สองภาคแรกที่ทำให้เขาหันมาเอาดีด้านการเป็น action stars เต็มตัว นับตั้งแต่นั้นหนัง blockbuster ที่ขายชื่อนักแสดงดังอย่างทอม ครูซก็ทำรายได้ดีมาตลอด ไล่ตั้งแต่ Minority Report, The Last Samurai, War of the Worlds แม้กระทั่ง Collateral ที่เขาชิมลางรับบทตัวร้ายและแชร์ความเด่นให้เจมี่ ฟ็อกซ์ก็ยังทำรายได้ในประเทศเกิน 100 ล้านเหรียญ
เกิดอะไรขึ้นกับนักแสดงระดับทอม ครูซที่ชื่อขายได้มาตลอดถึงได้ล้มเหลวไม่เป็นท่าในการแสดงนำหนัง 5 เรื่องหลังสุด ตั้งแต่ Valkyrie, Knight & Day, Jack Reacher, Oblivion จนถึงเรื่องล่าสุดที่คำวิจารณ์ของหนังก็ดีแต่กลับล้มเหลวด้านรายได้อย่าง Edge of Tomorrow (ไม่นับ Mission: Impossible - Ghost Protocol ที่อยู่ได้ด้วยชื่อเสียงของแฟรนไชส์)
ปัจจัยความล้มเหลวด้านรายได้ของ Edge of Tomorrow อาจจะเกิดขึ้นจากหลาย ๆ อย่างประกอบกัน
1) กระแสหนังแอ็คชั่นไซไฟเรื่องล่าสุดของเขาไม่ดี

Oblivion ผลงานกำกับของโจเซฟ โคซินสกี้อาจจะได้รับคำชมเรื่องงานภาพ แต่หลายเสียงบอกปากต่อปากว่าหนังช่างไม่น่าสนใจเอาเสียเลย การที่ทอม ครูซมารับบทนำในหนังแอ็คชั่นไซไฟสองเรื่องในระยะเวลาห่างกันแค่หนึ่งปีกว่าย่อมทำให้คนยังติดภาพเดิมของเขาอยู่ และชื่อผู้กำกับดั๊ก ลีแมนเองก็ไม่ใช่ชื่อที่จะมีแฟนคลับติดตามอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีชนักติดหลังอย่าง Jumper
2) เข้าฉายพร้อมฟุตบอลโลก

ในบรรดาฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ของสตูดิโอฮอลลีวูดย่อมรู้กันดีว่าฟุตบอลโลกย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงภาพยนตร์ลดลงอย่างต่ำ 25% โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาฟุตบอลกำลังได้รับความนิยมในอเมริกามากขึ้นอันเห็นได้จากเรทติ้งคนดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปี จนทุกสตูดิโอต่างพากันหลีกเลี่ยงส่งหนังใหญ่มาชนกับช่วงเปิดฟุตบอลโลก ทำให้เกิดคำถามว่าทำไม Edge of Tomorrow จึงไม่เลือกฉายวันที่ 9 พฤษภาคมที่มีคู่แข่งเพียงแค่หนังตลกอย่าง Neighbors ซึ่งจะทำให้หนังของทอม ครูซไม่ชนกับ The Amazing Spider-Man 2, X-Men: Days of Future Past และ Godzilla ที่ฉายในเดือนเดียวกัน
และมันก็น่าเศร้าเมื่อหนัง blockbuster แอ็คชั่นไซไฟทุนสร้าง 178 ล้านเหรียญจะทำรายได้เปิดตัวพ่ายแพ้หนังโรแมนติกวัยรุ่นเรื่อง The Fault in our Stars ด้วยยอดที่ห่างกันถึงเกือบ 20 ล้านเหรียญ
3) การโปรโมทที่ล้มเหลว

สำหรับชาวอเมริกันที่ดูหนังไซไฟติดกันมาหลายปีคงจะได้ยินชื่อ After Earth, Elysium และ Oblivion แถมยังมี Pacific Rim หนังที่ได้อิทธิพลความเป็นเอเชียที่มีคนเข้าไปอยู่ในหุ่นยนต์เหมือน ๆ กันอีก (Pacific Rim ไม่ฮิตในอเมริกา) คนอเมริกันยังติดภาพความไม่สนุกของหนังเหล่านี้อยู่ ดังนั้นเมื่อพวกเขาดูตัวอย่าง Edge of Tomorrow คงได้แต่เบ้ปากไม่สนใจเพราะไหนจะคนในหุ่นยนต์แบบ Pacific Rim ผลงานจากผู้กำกับ Jumper แล้วยังทอม ครูซที่เล่นแต่หนังเจ๊งติด ๆ กัน และยังถือปืนแสดงนำเรื่อง Oblivion ที่แสนน่าเบื่อนั่นอีก
อย่างไรก็ตามตัวอย่างหนังก็คงไม่เลวร้ายเท่ากับโปสเตอร์หนังที่ออกแบบมาช่างละม้ายคล้ายกับ Elysium ที่เพิ่งเจ๊งไปนั่นอีก
ชื่อทอม ครูซตอนนี้คงจะอยู่ได้ด้วยแฟรนไชส์ Mission: Impossible เพียงอย่างเดียว ซึ่งมันก็เพียงพอแล้วที่จะรักษาความเป็น action stars ของเขา แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเขาอยากกลับมาเป็นขวัญใจผู้ชมอเมริกันอีกครั้ง บางทีก็อาจต้องทำอะไรที่แตกต่างจากงานช่วงหลัง ๆ บ้างแล้วล่ะ
1) เลิกฉายเดี่ยวได้แล้ว

หากเรานึกถึงผลงานของทอม ครูซจะพบว่าแทบจะทุกเรื่องของเขาจะเป็นการรับบทนำเป็นฮีโร่แต่เพียงผู้เดียว แม้กระทั่ง Mission: Impossible ที่เหมือนจะทำงานเป็นทีมแต่เราก็จะพบว่าเขาได้รับบทที่เด่นจนแทบจะเป็นการฉายเดี่ยวอยู่เสมอ การที่เขารับแต่บทคนดีเป็นฮีโร่มากเกินไปก็อาจทำให้คนดูเอียนได้เหมือนกัน บางทีการกลับไปรับบทตัวร้ายเด่น ๆ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเหมือนลีโอนาร์โด้ ดิคาปริโอที่รับบทนำมาตลอดแต่ก็ยังมี Inception ที่แบ่งความเด่นให้คนอื่นในเรื่อง และหาความแตกต่างด้วยการเป็นตัวร้ายใน Django Unchained
ถ้าหากทอม ครูซยังคงเสพติดการเป็นฮีโร่ บางทีการประกบคู่นักแสดงชายอีกคนให้มีฐานะเท่าเทียมกันน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งผมได้แต่หวังว่าเจเรมี่ เรนเนอร์คงจะได้บทบาทที่เด่นขึ้นใน Mission: Impossible 5
2) เปลี่ยนแนวหนังได้แล้วล่ะ

เคยมีคนหลังไมค์มาตั้งประเด็นที่น่าสนใจมาก ๆ ว่าผู้ชมที่เกิดคนละยุคย่อมติดภาพนักแสดงแตกต่างกัน เช่นใครที่โตมากับโรเบิร์ต เด นีโรยุคก่อน 2000s ย่อมชินตากับการรับบทเป็นมาเฟีย เป็นอาชญากร แต่หากใครมาเริ่มดูหนังยุคหลัง ๆ ของเขาก็อาจจะคิดว่าเขาคือนักแสดงสายคอเมดี้ เพราะมีผลงานเด่น ๆ ทั้ง Analyze That และ Meet the Fockers แถมบทสมทบในหนังอย่าง Stardust และ Silver Linings Playbook ยังยิ่งเสริมให้ผู้ชมยุคใหม่ติดภาพคอเมดี้มากขึ้นไปอีก
เช่นกันกับทอม ครูซ ใครที่โตมาในยุคหลัง 2000s ย่อมติดภาพว่าเขาคือ action stars อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเขาเล่นแต่หนังแอ็คชั่นทั้ง Mission: Impossible, Minority Report, Knight and Day, Jack Reacher แถมยังมี 5 เรื่องที่ผูกติดกับความเป็นไซไฟ แต่สำหรับผู้ชมที่โตมาพร้อมกับทอม ครูซย่อมรู้ดีว่าเขาแจ้งเกิดจากสายดราม่า เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้วสามครั้งด้วยซ้ำ เคยเล่นบทคอเมดี้อย่าง Cocktail และ Jerry Maguire ดังนั้นถ้าทอม ครูซลองเลือกงดรับงานแอ็คชั่นลงบ้าง แล้วหันกลับมารับบทคอเมดี้แบบ Tropic Thunder หรือหาบทสมทบน่าสนใจเหมือนตอน Magnolia ก็ไม่แน่ว่าคนจะพอลืมภาพ action stars ของเขาลงไปบ้าง
3) ลองใช้ผู้กำกับและมือเขียนบทหน้าใหม่ไฟแรงบ้างไหม

เราพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าคริสโตเฟอร์ แม็คควอรีเป็นมือเขียนบทไร้ความสามารถแต่อย่างใด เพราะการที่เขามีออสการ์ในฐานะมือเขียนบท The Usual Suspects ก็น่าจะการันตีความสามารถได้ในระดับหนึ่ง แต่คุณลองมองดูการเขียนบทหนัง 5 เรื่องล่าสุดของเขา ซึ่งเป็นหนังของทอม ครูซถึง 3 เรื่อง (Valkyrie, Jack Reacher และ Edge of Tomorrow) มันก็ยังไม่ใช่ผลงานที่ส่งให้เขาเปรี้ยงเสียที มันก็น่าคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่เขาจะต้องลองร่วมงานกับผู้กำกับและมือเขียนบทรุ่นใหม่ ๆ ที่มีลูกบ้าสูง เช่น มาร์ติน แม็กโดแน็ก (ผกก. In Bruges และ Seven Psychopaths), เอ็ดการ์ ไรท์ (ผกก. Hot Fuzz และ The World's End ที่พอจะการันตีความกวนและการทำหนังแอ็คชั่น), แกเร็ธ อีแวนส์ (ผกก. The Raid ทั้งสองภาค) ก็เป็นตัวเลือกที่หากเขายังต้องการรักษาภาพ action stars
ท้ายที่สุด ด้วยกระแสคำชมที่ดีจากรอบฉายในโรงภาพยนตร์เรื่อง Edge of Tomorrow ก็อาจจะทำให้มีผู้ชมจำนวนมากได้ชมผ่าน DVD จนเกิดเป็นกระแสปากต่อปากว่า 'ทอม ครูซ กลับมาแล้ว' และนั่นก็อาจจะทำให้งานชิ้นต่อ ๆ ไปของเขามีโอกาสทำรายได้เปิดตัวสูงขึ้นจากความเชื่อมั่นที่กลับมาจากผู้ชมบางส่วนที่ห่างเหินงานของเขาไปนาน ซึ่งหากเราย้อนดูประวัติศาสตร์ภาพยนตร์จะพบว่าหนังดี ๆ หลายเรื่องไม่ประสบความสำเร็จเมื่อครั้งยืนโรงฉาย แต่ด้วยกระแสคำชมที่ดีทำให้มีกลุ่มผู้ชมจำนวนมากดูผ่าน DVD จนสตูดิโอสามารถเข็นภาคต่อออกมาได้ หนึ่งในตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จจากยอดขาย DVD ก็คือ Transporter ที่ส่งให้เจสัน สเตแธมแจ้งเกิดเป็น action stars ของยุค 2000s ทันที
ผมได้แต่หวังว่า Edge of Tomorrow จะเรียกความเชื่อมั่นในตัวทอม ครูซกลับมาได้อีกครั้ง
Comments