Mad Max: Fury Road (2015)
- หนังโปรดของข้าพเจ้า
- 21 พ.ค. 2558
- ยาว 1 นาที

Mad Max: Fury Road (2015) | Mad Max mun max max
ความเห็นสั้น ๆ สำหรับคนขี้เกียจอ่านยาว ๆ คือ "เป็นหนังแอ็คชั่นที่มันแบบสร้างสรรค์มาก อยากดูหนังมัน ๆ ก็ซื้อตั๋วไปดู Mad Max ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว" ส่วนใครจะอ่านเพิ่มเติมถึงเหตุผลที่ผมเชียร์หนังเรื่องนี้ก็อ่านต่อได้เลยครับ
1) Mad Max ยังคงเอกลักษณ์เดิมจากสมัยที่เป็น pop culture ของต้นยุค 80s ตั้งแต่ โลกดิสโทเปีย (โลกล่มสลาย), มีรถแต่งเจ๋ง ๆ ไว้ไล่ล่ากลางทะเลทราย, การต่อสู้เต็มไปด้วยความรุนแรง, ผู้หญิงถูกกดขี่ข่มเหง ซึ่งการที่ผู้กำกับเติบโตมีประสบการณ์มากขึ้น จึงได้เห็นการเอาเสน่ห์เดิม ๆ มาประยุกต์ใหม่ เช่นความรุนแรงต่อเพศหญิงก็ถูกหลีกเลี่ยงให้เห็นภาพอ้อม ๆ, รถแต่งไล่ล่าที่กลายเป็นความนิยมของแฟรนไชส์ก็ถูกนำเสนอใหม่ด้วยไอเดียที่บ้าคลั่งกว่าเดิม, เล่าปมตัวละครหนักแน่นเหมือนเดิมแต่ไม่ชวนเบื่อ ผลลัพธ์ที่ได้จึงลงตัวมาก

2) ความแข็งแกร่งแรกของหนังเลยคือการสร้างโลก post-apocalyptic ได้สมจริงมาก โลกในหนังคือโลกของการแย่งชิงน้ำเพื่อประทังชีวิตและหาน้ำมันไว้ใช้เติมรถไปออกไล่ล่า ผู้คนต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ใครตัวคนเดียวแบบ 'แม็ก' (Tom Hardy) ก็มีโอกาสถูกไล่จับเอาเลือดไปให้พวก war boys ที่คลั่ง ๆ ท่านผู้นำที่โฆษณาชวนเชื่อสร้างภาพตัวเองราวกับเป็นพระเจ้า ส่วนผู้หญิงก็ถูกจับไปปั๊มลูกเสริมทายาทผู้นำ แล้วบรรยากาศทะเลทรายสุดลูกหูลูกตชนิดที่ไม่มีตึกรามบ้านช่องเหมือนสมัยไตรภาคเก่ายังช่วยเสริมให้ Mad Max เป็นโลกล่มสลายมากยิ่งขึ้นไปอีก
3) พูดถึง war boys แล้วเราสนใจทัศนคติของตัวละครเหล่านี้มาก หนังบอกเล่าสถานะของ war boys ผ่าน 'นักซ์' (Nicholas Hoult) เด็กหนุ่มที่มีความฝันจะรับใช้ผู้นำ อยากออกไปขับรถซิ่งไล่ล่าเป็นพวกบ้าสงคราม และยังเชื่อว่าการพลีชีพคือการกระทำอันสูงส่งที่จะทำให้ตัวเองได้รับการยอมรับทั้งจากโลกที่อาศัยและโลกหลังความตาย เราชอบที่หนังเรียกคนกลุ่มนี้ตรง ๆ ว่า war boys มันเสียดสีพวกบ้าสงครามในโลกนี้ได้ดีมาก ๆ ไม่ว่าจะเพราะถูกปลุกปั่นจากโฆษณาชวนเชื่อหรือถูกปลูกฝังมาผิด ๆ แต่เชื่อเถอะว่าลึก ๆ แล้วพวกเขาแค่รอเวลาออกไปเห็นโลกมากขึ้น ได้ไตร่ตรองด้วยตัวเองจากการร่วมรบทุกครั้ง ที่สุดแล้วสงครามจะทำให้เขาเติบโตและคิดได้เองว่า่อะไรคือสิ่งที่ควรทำ นั่นจึงทำให้ตัวละครของ 'นิโคลัส ฮอลท์' มีมิติความเปลี่ยนแปลงลุ่มลึกมากกว่าตัวละครของ 'ทอม ฮาร์ดี้' เสียอีก

4) บทของ 'ทอม ฮาร์ดี้' ถูกหยอดปมมาเพียงความรู้สึกผิดในอดีตได้กลายมาเป็นสิ่งหลอกหลอนเขาตลอดเวลา ความเปลี่ยนแปลงของเขาก็คือการตัดสินใจช่วยเหลือ 'ฟูริโอซ่า' (Charlize Theron) พากลุ่มหญิงสาวหลบหนีจากการถูกตามล่า ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเขาจะไม่ยอมรู้สึกผิดแบบที่เคยทอดทิ้งผู้คนที่ผ่านมา
5) หนังเลือกจะตัดการขายฉากความรุนแรงต่อเพศหญิงโดยตรงออกไป ซึ่งบอกเลยว่า "คิดถูกแล้ว" หนังนำเสนออ้อม ๆ ว่าเหล่าสาวสวยในเรื่องล้วนถูกกดขี่ข่มเหงมีสถานะเป็นเพียงเครื่องปั๊มเด็ก การที่หนังไม่ใส่ฉากข่มขืน ไม่ใส่ฉากร่วมเพศแบบสมัยก่อนจึงเป็นสิ่งที่เรารู้สึกดีกับหนังมากขึ้น เพราะจะได้มีเวลาไปประเคนให้กับฉากแอ็คชั่นสุดเร้าใจ
6) มาถึงไฮไลท์เด็ด เราซื้อตั๋ว Mad Max ก็เพื่อไปดูแอ็คชั่นสุดบรรเจิดเลิศล้ำสร้างสรรค์ อันที่จริงมันเป็นสไตล์แอ็คชั่นแบบยุค 80s ที่ขายระเบิดตูมตามวินาศสันตะโรเป็นหลัก แต่หนังสามารถหาทางเอาสไตล์เชย ๆ แบบนั้นมาขายใหม่ได้ชวนตื่นตาเหลือเกิน โดยเฉพาะการออกแบบฉากแอ็คชั่นแต่ละฉาก ไม่ว่าจะเป็นการขี่มอเตอร์ไซค์ผาดโผนกระโดดจากซ้ายไปขวาพร้อมพุ่งหอกเข้าใส่เป้าหมายจากมุมสูง, ฉากบู๊มือเปล่าก็ใช้ประโยชน์จากโซ่ล่ามและพันธะต่าง ๆ ได้ดี

7) ชอบการออกแบบรถทั้งหลาย โดยเฉพาะลูกเล่นความแตกต่างของรถแต่ละคันเพื่อใช้ในแต่ละสถานการณ์(รวมทั้งลูกบ้าการดีไซน์รถแต่ละคันที่ดูเถื่อน ดูน่าเกรงขาม), ลูกบ้าการออกแบบอาวุธติดตัวต่าง ๆ ที่ดูอันตรายพร้อมใช้งานตามสถานการณ์ ในภาพรวมแล้วคงจะบอกได้เพียงว่างานเขาเลิศจริง ๆ
8) การกำกับภาพนี่ไม่พูดถึงไม่ได้จริง ๆ เลิศมากกกกกกกก ภาพสวยมากกกกกก ในบรรดาหนังที่เซ๊ทฉากเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาช่วง 2-3 ปีมานี้แบบ Oblivion ที่ผมว่างามแล้ว เรื่องนี้งามกว่าทั้งกลางวันทั้งกลางคืน เปิดดูเครดิตละ ผลงานกำกับภาพโดย 'John Seale' เคยชนะออสการ์ครั้งเดียวจากการกำกับภาพ The English Patient (1996) ซึ่งก็เป็นทิวทัศน์ทะเลทราย
ไม่ต้องเคยดูไตรภาคเก่าสักภาคก็มันได้!
Director: George Miller
screenplay: action, thriller, adventure, sci-fi
Genre: action, thriller, adventure, sci-fi
8.5/10

Kommentit